โฆษณาต้านคอรัปชั่น

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

อริยสัจ 4

|\_ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น _/|\_


     กราบนมัสการท่านยะมุนีเจ้าค่ะ

********************************

     ปัญญาอันรู้ยิ่ง      เป็นญาตัฏฐญาณ

     ปัญญาเครื่องกำหนดรู้      เป็นติรณัฏฐญาณ

     ปัญญาเครื่องละ      เป็นปริจจาคัฏฐญาณ

     ปัญญเครื่องเจริญ      เป็นเอกรสัฏฐญาณ

     ปัญญาเครื่องกระทำให้แจ้ง      เป็นผัสสนัฏฐญาณ ฯ

การทำปุ๋ยจากธรรมชาติ

ศิลปวัฒนธรรมไทย

มหาวิทยาลัยบูรพา ศูนย์ศรีนครินทร์ จัดโครงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย “การแสดงอักษราหุ่นละครเล็ก”หารายได้สนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬา MPA GAMES 2009
นายเกรียงศักดิ์ แสงจันทร์ รักษาการหัวหน้าสำนักงานศูนย์ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา ศูนย์การศึกษาศรีนครินทร์ ร่วมกับ คณะกรรมการฝ่ายจัดหาทุนการแข่งขันกีฬา MPA MPA GAMES 2009 จัดโครงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย “การแสดงอักษราหุ่นละครเล็ก” ในวันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2552 ตั้งแต่เวลา 11.30 – 15.00 น. ณ โรงละครอักษรา ชั้น 3 คิงเพาเวอร์คอมเพล็กซ์ ถ.รางน้ำ แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการแสดงหุ่นละคร การแสดงด้านดนตรี และศิลปพื้นบ้าน การขับร้อง และการละเล่นของไทย และเพื่อเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมประจำชาติให้ยังคงอยู่และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และเพื่อหารายได้สนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬา MPA GAMES 2009 ที่ศูนย์การศึกษาศรีนครินทร์ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ท่านใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ ศูนย์การศึกษาศรีนครินทร์ บัตรราคาใบละ 1,000 บาท/ท่าน (ชมการแสดงหุ่นละคร/รับประทานอาหาร ณ ภัตาคารรามายณะ)โทร.02-325-9068, 02- 746-0006 มือถือ 086-876-6676, 087-915-7002 ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็น

การทำความสะอาดห้องนำ

ราบสกปรกจากการทําอาหาร ไอน้ำมัน ความชื้นต่างๆ มักเกาะติดอยู่ตามผนังครัว โดยเฉพาะบริเวณที่ปรุงอาหาร ต้องหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำยาทําความสะอาดเช็ดเป็นประจํา หากมีโอกาสทาสีใหม่ก็ควรเลือกใช้สีทาผนังประเภทเช็ดล้างได้ซึ่งช่วยให้ทําความสอุปกรณ์ครัว สิ่งสกปรกที่พบมากคือคราบไขมันจากการปรุงอาหารจึงควรหมั่นทําความสะอาดอุปกรณ์ทําครัวด้วยการนํามาแช่น้ำยาทําความสะอาดเครื่องครัวหรือน้ำร้อนก่อนที่จะนําไปล้าง เพราะจะช่วยทําให้คราบสกปรกที่ติดอยู่หลุดออกมาได้ง่ายขึ้นกว่านําไปล้างเลยทันทีะอาดง่ายและคราบสกปรกเกาะติดยากขึ้นด้วย

ประวัติพระพุทธเจ้า

ประวัติพระพุทธเจ้า (The Life of Buddha) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน 2 มิติ ที่เล่าเรื่องราวประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำเนินการผลิตโดย ดร.วัลลภา พิมพ์ทอง และบริษัท มีเดียสแตนดาร์ด จำกัด ตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ด้วยงบประมาณ 108 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 และจะเริ่มฉายในประเทศไทยประมาณช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องนี้มีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาโครงการ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า กลุ่มธรรมะการ์ตูน ๘๐ พรรษามหาราช มีท่าน ว.วชิรเมธี เป็นประธานกลุ่ม
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จัดจำหน่ายโดยบริษัท โมโนฟิล์ม โดยจะมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน และจะนำไปโปรโมทในงานเทศกาลภาพยนตร์ ในต่างประเทศ

การดูแลป่าชายเลน

Written by KM-IT   
Monday, 25 May 2009 13:44
การปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ป่าชายเลนประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด บางชนิดขยายพันธุ์โดยส่วนที่เรียกว่าฝักและบางชนิดขยายพันธ์โดยส่วนที่เป็นผลและเมล็ด โดยธรรมชาติ ฝัก ผล หรือเมล็ด ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทุกชนิด สามารถที่จะงอก และเจริญเติบโตได้เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม แต่เมื่อต้องการที่จะปลูกในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อทางเศรษฐกิจหรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็ตาม จำเป็นต้องทำการเก็บรวบรวมฝัก ผล และเมล็ด เพื่อนำมาใช้ปลูกโดยตรง หรือมาเพาะในเรือเพาะชำเป็นกล้าไว้ก่อน เพื่อเตรียมไว้ปลูกในช่วงเวลาที่มีฝักหรือเมล็ดไม่เพียงพอ ซึ่งการปลูกเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีนั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ในเรื่องธรรมชาติของไม้แต่ละชนิดและสภาพสิ่งแสดล้อมแล้ว ยังจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการและเทคนิคในการปลูกและดูแลรักษาด้วย สำหรับวิธีการและเทคนิคนั้น จะแตกต่างไปตามลักษณะของพันธุ์ไม้แต่ละชนิด           วิธีการและเทคนิคการปลูก
          1. การปลูกโดยใช้ฝัก พันธุ์ไม้ที่ใช้ฝักในการขยายพันธุ์ ได้แก่ โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora- mucronata) โกงกางใบเล็ก (R. apiculata) รังกะแท้ (Kandelia candel) พังกา หัวสุมดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza) พังกาหัวสุมดอกขาว (B. sexangula) ถั่วขาว (B. cylindrica) ถั่วดำ (B. parviflora) โปรงแดง (Ceriopstagal) และโปรงขาว (C. decandra) เป็นต้น เทคนิคการปลูกโดยใช้ฝักปลูกดำเนินการได้ในสองกรณี คือ
               1.1 การปลูกโดยใช้ฝักปลูกโดยตรง
                     1.1.1 สำหรับพันธุ์ไม้ที่มีขนาดของฝักยาว เช่น โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก รังกะแท้ และโปรงแดง สามารถใช้ฝักปลูกลงในพื้นที่ได้ทันที โดยในการปลูกควรจับฝักห่างจากโคนฝักประมาณหนึ่งในสามของความยาวของฝัก และให้ส่วนโคนของฝักอยู่ทางด้านนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ คือมีลักษณะเหมือนกำฝักไว้ในอุ้งมือ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถปักฝักลงไปได้สะดวกและและอยู่ในแนวดิ่ง โดยเมื่อปลูกให้ปักฝักลงในดินจนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ชิดผิวดิน (ภาพที่ 1a) ถ้าหากพื้นที่ที่ปลูกเป็นดินปนทรายและแน่นทึบ ควรใช้ไม้แหลมขนาดเท่าหรือโตกว่าฝักของชนิดไม้ที่จะปลูกเล็กน้อยแทงนำร่องก่อน เพื่อลดความกระทบกระเทือนของการเสียดสีระหว่างดินกับผิวของฝักที่ปลูก และเมื่อหย่อนฝักลงไปในหลุมที่เตรียมไว้แล้วให้กดดินบริเวณรอบโคนฝักให้แน่นแนบสนิทกับฝัก เพื่อไม่ให้โยกคลอนโดยเฉพาะจากอิทธิพลของแรงกระแสคลื่นและลม
                    1.1.2 สำหรับพันธุ์ไม้ที่มีฝักขนาดเล็กหรือสั้น เช่น พังกาหัวสุมดอกแดง พังกา หัวสุมดอกขาว ถั่วดำ ถั่วขาว และโปรงขาว การปลูกควรจับฝักห่างจากโคนฝักประมาณหนึ่งในสามลักษณะเหมือนจับปากกา (ภาพที่ 1b) ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการปลูก แล้วปักลงในดินไม่ให้ลึกนัก ประมาณ 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของฝักทั้งหมด การปลูกโดยใช้ฝักโดยตรงในพื้นที่จะช่วยในการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและสะดวกในการปลูก แต่การที่ปลูกแล้วจะได้ผลดีจำเป็นจะต้องเลือกฝักที่มีอายุแก่เต็มที่และมีลักษณะสมบูรณ์ไม่ถูกทำลายโดยแมลง โดยเฉพาะมอดเจาะเมล็ดไม้จะเจาะฝักหรือเมล็ดมีขนาดเท่ารูเข็มหมุด เนื่องจากมีการเก็บฝักที่หล่นจากต้นมาเป็นเวลานาน หรือเก็บรักษาฝักไว้นานจนผิวแห้ง การป้องกันจึงควรเก็บรักษาฝักให้เปียกชื้นอยู่เสมอ จะช่วยในการป้องกันการทำลายของมอดเจาะชนิดนี้ได้ แต่ละฝักที่จะนำไปปลูกจะต้องคัดเลือกและตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ฝักที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง จึงจะทำให้การปลูกด้วยฝักได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
วิธีการปลูกโดยใช้ฝักปักในพื้นที่ปลูกโดยตรง (a) กรณีฝักมีขนาดยาว (b)กรณีฝักมีขนาดสั้น
           1.2 เทคนิคในการเพาะชำฝักลงในถุงเพาะชำ สามารถดำเนินการได้ดังนี้ จัดสร้างเรือนเพาะชำให้มีขนาดที่เหมาะสมกับปริมาณกล้าไม้ที่ต้องการใช้ในการ ปลูก และเผื่อไว้ปลูกซ่อมอีก 20% โดยใช้ตาข่ายพรางแสงประมาณ 50 – 70 % ขึงกับเสาไม้หรือเสาคอนกรีตที่ปักลงในดินจนแน่น แล้วนำถุงพลาสติกที่ใส่วัสดุเพาะชำ (อาจใช้ดินเลนผสมแกลบเผา อัตราส่วน 1:1) วางไว้เป็นบล็อกที่มีทางเดินทั้งสองข้างของบล็อก แล้วใช้ฝักปลูกลงในถุงเพาะชำ โดยปักลงไปประมาณหนึ่งในสาม หรือหนึ่งในสี่ของความยาวฝักได้ ตามแต่ขนาดของฝัก การจับฝักควรจับแบบจับปากกา (ภาพที่ 1b) จะสามารถช่วยให้ปลูกได้สะดวกกว่า กรณีทีเป็นฝักยาวก็จะต้องปรับให้แทงทะลุถุง และจะต้องให้ฝักตั้งตรงด้วย การนำฝักมาเพาะไว้ในเรือนเพาะชำก่อนจะนำไปปลูกในพื้นที่โดยตรงนั้น จะช่วยให้การเจริญเติบโตและการรอดตายมากขึ้น ข้อควรระวังในการใช้กล้าปลูกคือ อย่างให้รากทะลุก้นถุงลงในดิน เมื่อย้ายไปปลูกระบบรากจะกระทบกระเทือนอาจทำให้ตายได้ โดยเฉพาะไม้โกงกาง
           2. การปลูกโดยใช้เมล็ด สามารถดำเนินการได้กับพันธุ์ไม้ที่ขยายพันธุ์โดยเมล็ด หรือ ผล เช่น ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum) ตะบูนดำ (X.moluccensis) แสมขาว (Avicennia alba) แสมทะเล (A. marina) ฝาดดอกขาว (Lumnitzera racemosa) ฝาดดอกแดง (L.littorea) หงอนไก่ทะเล (Heritiera littoralis) และหลุมพอทะเล (Intsia bijuga) เป็นต้น แต่เนื่องจากเมล็ดของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน จะถูกพัดพาไปตามกระน้ำได้ง่าย ในทางปฏิบัติจึงไม่นิยมปลูกด้วยเมล็ดโดยตรงในพื้นที่ และที่ได้ผลดีที่สุดคือ ต้องนำเมล็ดไม้เหล่านี้มาทำการเพาะชำ เพื่อเตรียมกล้าไม้ไว้ให้แข็งแรงและเพียงพอก่อนนำไปปลูกโดยตรงในพื้นที่จึงจะทำให้การปลูกได้ผลดี โดยเทคนิคในการเพาะชำจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของเมล็ดแต่ละชนิด เช่น เมล็ดลำพู ลำแพนที่มีขนาดเล็ก ควรเพาะในกะบะเพาะก่อน แล้วย้ายต้นอ่อนลงในถุงเพาะชำ เมล็ดตะบูนขาวที่มีขนาดใหญ่สามารถเพาะลงในถุงเพาะชำโดยตรงได้ เป็นต้น
           3. การปลูกโดยใช้กล้าไม้ที่ได้จากการเตรียมกล้าในแปลงเพาะ มีเทคนิคในการปลูกดังนี้
                3.1 การเตรียมหลุมปลูก                       หลุมที่จะปลูกต้องจัดเตรียมไว้โดยใช้เสียมขุด ให้มีขนาดโตและลึกกว่าขนาดของถุง เพาะเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้ฝังลงในดินได้มิดพอดี หรืออาจจะใช้ไม้หลักปักลึกลงในดินตรงจุดที่จะปลูก แล้วโยกไม้วนไปรอบๆ เป็นวงกลม (ภาพที่ 2a) เพื่อให้ได้หลุมกว้างพอที่จะหย่อนกล้าไม้ลงไปได้อย่างสะดวกและไม่กระทบกระเทือนต่อรากไม้ด้วย โดยก่อนที่จะหย่อนกล้าลงในหลุม ควรทำการปรับก้นหลุมให้อยู่ในระดับพอเหมาะกับขนาดถุงเพาะชำ
                3.2 การปลูกและระยะการปลูก
                      ใช้มือทั้งสองบีบอัดดินในถุงเพาะชำให้เกาะยึดกันแล้วใช้มือฉีกหรือใช้มีดกรีดถุงออก ก่อนปลูก (ภาพที่ 2b) หรืออาจใช้มีดกรีดเฉพาะก้นถุงให้ขาดออกจากกันโดยรอบก็ได้ (ภาพที่ 2c) แล้วใช้มือประคองดินในถุงเพาะ (ภาพที่ 2d) แล้วหย่อนกล้าลงไปในถุงที่เตรียมไว้แล้ว (ภาพที่ 2e) โดยจัดวางกล้าไม้ให้ตั้งตรง แล้วสุดท้ายใช้ดินกลบปิดปากหลุมและกดอัดดินรอบๆ หลุมให้แน่น (ภาพที่ 2f) เพื่อไม่ให้กล้าไม้ที่ปลูกโยกคลอนจากแรงคลื่นและแรงลม สำหรับระยะการปลูกของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ส่วนใหญ่จะใช้ระยะการปลูกประมาณ 1x1 เมตร หรือ 1.5 x 1.5 เมตร หรือน้อยกว่าซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ไม้ชนิดต่างๆ กัน และวัตถุประสงค์อย่างอื่นของการปลูกด้วย เช่นการปลูกเพื่อการเป็นกำแพงกันคลื่นลมตามชายฝั่งทะเล การปลูกเพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอาจปลูกระยะถี่ 0.75 x 0.75 เมตรก็ได้
การดูแลรักษา
          การดูแลรักษากล้าไม้ในเรือนเพาะชำและกล้าไม้ที่ปลูกในพื้นที่นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และจะต้องตรวจตราดูแลอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากดินอาจจะแห้งเกินไปในช่วงฤดูแล้ง หรืออาจจะถูกทำลายโดยโรคและแมลงในกรณีกล้าไม้อยู่ในแปลงเพาะ ส่วนเมื่อนำไปปลูกในพื้นที่แล้วอาจจะถูกทำลายโดยแมลง ตัวหนอน ปูแสม เพรียงหินหรือลิง เป็นต้น และจะต้องกำจัดวัชพืชเพื่อลดการแก่งแย่งและเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของกล้าไม้ในพื้นที่ปลูกด้วย
Last Updated on
Written by KM-IT   
Monday, 25 May 2009 13:44
การปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ป่าชายเลนประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด บางชนิดขยายพันธุ์โดยส่วนที่เรียกว่าฝักและบางชนิดขยายพันธ์โดยส่วนที่เป็นผลและเมล็ด โดยธรรมชาติ ฝัก ผล หรือเมล็ด ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทุกชนิด สามารถที่จะงอก และเจริญเติบโตได้เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม แต่เมื่อต้องการที่จะปลูกในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อทางเศรษฐกิจหรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็ตาม จำเป็นต้องทำการเก็บรวบรวมฝัก ผล และเมล็ด เพื่อนำมาใช้ปลูกโดยตรง หรือมาเพาะในเรือเพาะชำเป็นกล้าไว้ก่อน เพื่อเตรียมไว้ปลูกในช่วงเวลาที่มีฝักหรือเมล็ดไม่เพียงพอ ซึ่งการปลูกเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีนั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ในเรื่องธรรมชาติของไม้แต่ละชนิดและสภาพสิ่งแสดล้อมแล้ว ยังจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการและเทคนิคในการปลูกและดูแลรักษาด้วย สำหรับวิธีการและเทคนิคนั้น จะแตกต่างไปตามลักษณะของพันธุ์ไม้แต่ละชนิด           วิธีการและเทคนิคการปลูก
          1. การปลูกโดยใช้ฝัก พันธุ์ไม้ที่ใช้ฝักในการขยายพันธุ์ ได้แก่ โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora- mucronata) โกงกางใบเล็ก (R. apiculata) รังกะแท้ (Kandelia candel) พังกา หัวสุมดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza) พังกาหัวสุมดอกขาว (B. sexangula) ถั่วขาว (B. cylindrica) ถั่วดำ (B. parviflora) โปรงแดง (Ceriopstagal) และโปรงขาว (C. decandra) เป็นต้น เทคนิคการปลูกโดยใช้ฝักปลูกดำเนินการได้ในสองกรณี คือ
               1.1 การปลูกโดยใช้ฝักปลูกโดยตรง
                     1.1.1 สำหรับพันธุ์ไม้ที่มีขนาดของฝักยาว เช่น โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก รังกะแท้ และโปรงแดง สามารถใช้ฝักปลูกลงในพื้นที่ได้ทันที โดยในการปลูกควรจับฝักห่างจากโคนฝักประมาณหนึ่งในสามของความยาวของฝัก และให้ส่วนโคนของฝักอยู่ทางด้านนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ คือมีลักษณะเหมือนกำฝักไว้ในอุ้งมือ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถปักฝักลงไปได้สะดวกและและอยู่ในแนวดิ่ง โดยเมื่อปลูกให้ปักฝักลงในดินจนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ชิดผิวดิน (ภาพที่ 1a) ถ้าหากพื้นที่ที่ปลูกเป็นดินปนทรายและแน่นทึบ ควรใช้ไม้แหลมขนาดเท่าหรือโตกว่าฝักของชนิดไม้ที่จะปลูกเล็กน้อยแทงนำร่องก่อน เพื่อลดความกระทบกระเทือนของการเสียดสีระหว่างดินกับผิวของฝักที่ปลูก และเมื่อหย่อนฝักลงไปในหลุมที่เตรียมไว้แล้วให้กดดินบริเวณรอบโคนฝักให้แน่นแนบสนิทกับฝัก เพื่อไม่ให้โยกคลอนโดยเฉพาะจากอิทธิพลของแรงกระแสคลื่นและลม
                    1.1.2 สำหรับพันธุ์ไม้ที่มีฝักขนาดเล็กหรือสั้น เช่น พังกาหัวสุมดอกแดง พังกา หัวสุมดอกขาว ถั่วดำ ถั่วขาว และโปรงขาว การปลูกควรจับฝักห่างจากโคนฝักประมาณหนึ่งในสามลักษณะเหมือนจับปากกา (ภาพที่ 1b) ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการปลูก แล้วปักลงในดินไม่ให้ลึกนัก ประมาณ 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของฝักทั้งหมด การปลูกโดยใช้ฝักโดยตรงในพื้นที่จะช่วยในการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและสะดวกในการปลูก แต่การที่ปลูกแล้วจะได้ผลดีจำเป็นจะต้องเลือกฝักที่มีอายุแก่เต็มที่และมีลักษณะสมบูรณ์ไม่ถูกทำลายโดยแมลง โดยเฉพาะมอดเจาะเมล็ดไม้จะเจาะฝักหรือเมล็ดมีขนาดเท่ารูเข็มหมุด เนื่องจากมีการเก็บฝักที่หล่นจากต้นมาเป็นเวลานาน หรือเก็บรักษาฝักไว้นานจนผิวแห้ง การป้องกันจึงควรเก็บรักษาฝักให้เปียกชื้นอยู่เสมอ จะช่วยในการป้องกันการทำลายของมอดเจาะชนิดนี้ได้ แต่ละฝักที่จะนำไปปลูกจะต้องคัดเลือกและตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ฝักที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง จึงจะทำให้การปลูกด้วยฝักได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
วิธีการปลูกโดยใช้ฝักปักในพื้นที่ปลูกโดยตรง (a) กรณีฝักมีขนาดยาว (b)กรณีฝักมีขนาดสั้น
           1.2 เทคนิคในการเพาะชำฝักลงในถุงเพาะชำ สามารถดำเนินการได้ดังนี้ จัดสร้างเรือนเพาะชำให้มีขนาดที่เหมาะสมกับปริมาณกล้าไม้ที่ต้องการใช้ในการ ปลูก และเผื่อไว้ปลูกซ่อมอีก 20% โดยใช้ตาข่ายพรางแสงประมาณ 50 – 70 % ขึงกับเสาไม้หรือเสาคอนกรีตที่ปักลงในดินจนแน่น แล้วนำถุงพลาสติกที่ใส่วัสดุเพาะชำ (อาจใช้ดินเลนผสมแกลบเผา อัตราส่วน 1:1) วางไว้เป็นบล็อกที่มีทางเดินทั้งสองข้างของบล็อก แล้วใช้ฝักปลูกลงในถุงเพาะชำ โดยปักลงไปประมาณหนึ่งในสาม หรือหนึ่งในสี่ของความยาวฝักได้ ตามแต่ขนาดของฝัก การจับฝักควรจับแบบจับปากกา (ภาพที่ 1b) จะสามารถช่วยให้ปลูกได้สะดวกกว่า กรณีทีเป็นฝักยาวก็จะต้องปรับให้แทงทะลุถุง และจะต้องให้ฝักตั้งตรงด้วย การนำฝักมาเพาะไว้ในเรือนเพาะชำก่อนจะนำไปปลูกในพื้นที่โดยตรงนั้น จะช่วยให้การเจริญเติบโตและการรอดตายมากขึ้น ข้อควรระวังในการใช้กล้าปลูกคือ อย่างให้รากทะลุก้นถุงลงในดิน เมื่อย้ายไปปลูกระบบรากจะกระทบกระเทือนอาจทำให้ตายได้ โดยเฉพาะไม้โกงกาง
           2. การปลูกโดยใช้เมล็ด สามารถดำเนินการได้กับพันธุ์ไม้ที่ขยายพันธุ์โดยเมล็ด หรือ ผล เช่น ตะบูนขาว (Xylocarpus granatum) ตะบูนดำ (X.moluccensis) แสมขาว (Avicennia alba) แสมทะเล (A. marina) ฝาดดอกขาว (Lumnitzera racemosa) ฝาดดอกแดง (L.littorea) หงอนไก่ทะเล (Heritiera littoralis) และหลุมพอทะเล (Intsia bijuga) เป็นต้น แต่เนื่องจากเมล็ดของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน จะถูกพัดพาไปตามกระน้ำได้ง่าย ในทางปฏิบัติจึงไม่นิยมปลูกด้วยเมล็ดโดยตรงในพื้นที่ และที่ได้ผลดีที่สุดคือ ต้องนำเมล็ดไม้เหล่านี้มาทำการเพาะชำ เพื่อเตรียมกล้าไม้ไว้ให้แข็งแรงและเพียงพอก่อนนำไปปลูกโดยตรงในพื้นที่จึงจะทำให้การปลูกได้ผลดี โดยเทคนิคในการเพาะชำจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของเมล็ดแต่ละชนิด เช่น เมล็ดลำพู ลำแพนที่มีขนาดเล็ก ควรเพาะในกะบะเพาะก่อน แล้วย้ายต้นอ่อนลงในถุงเพาะชำ เมล็ดตะบูนขาวที่มีขนาดใหญ่สามารถเพาะลงในถุงเพาะชำโดยตรงได้ เป็นต้น
           3. การปลูกโดยใช้กล้าไม้ที่ได้จากการเตรียมกล้าในแปลงเพาะ มีเทคนิคในการปลูกดังนี้
                3.1 การเตรียมหลุมปลูก                       หลุมที่จะปลูกต้องจัดเตรียมไว้โดยใช้เสียมขุด ให้มีขนาดโตและลึกกว่าขนาดของถุง เพาะเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้ฝังลงในดินได้มิดพอดี หรืออาจจะใช้ไม้หลักปักลึกลงในดินตรงจุดที่จะปลูก แล้วโยกไม้วนไปรอบๆ เป็นวงกลม (ภาพที่ 2a) เพื่อให้ได้หลุมกว้างพอที่จะหย่อนกล้าไม้ลงไปได้อย่างสะดวกและไม่กระทบกระเทือนต่อรากไม้ด้วย โดยก่อนที่จะหย่อนกล้าลงในหลุม ควรทำการปรับก้นหลุมให้อยู่ในระดับพอเหมาะกับขนาดถุงเพาะชำ
                3.2 การปลูกและระยะการปลูก
                      ใช้มือทั้งสองบีบอัดดินในถุงเพาะชำให้เกาะยึดกันแล้วใช้มือฉีกหรือใช้มีดกรีดถุงออก ก่อนปลูก (ภาพที่ 2b) หรืออาจใช้มีดกรีดเฉพาะก้นถุงให้ขาดออกจากกันโดยรอบก็ได้ (ภาพที่ 2c) แล้วใช้มือประคองดินในถุงเพาะ (ภาพที่ 2d) แล้วหย่อนกล้าลงไปในถุงที่เตรียมไว้แล้ว (ภาพที่ 2e) โดยจัดวางกล้าไม้ให้ตั้งตรง แล้วสุดท้ายใช้ดินกลบปิดปากหลุมและกดอัดดินรอบๆ หลุมให้แน่น (ภาพที่ 2f) เพื่อไม่ให้กล้าไม้ที่ปลูกโยกคลอนจากแรงคลื่นและแรงลม สำหรับระยะการปลูกของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ส่วนใหญ่จะใช้ระยะการปลูกประมาณ 1x1 เมตร หรือ 1.5 x 1.5 เมตร หรือน้อยกว่าซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ไม้ชนิดต่างๆ กัน และวัตถุประสงค์อย่างอื่นของการปลูกด้วย เช่นการปลูกเพื่อการเป็นกำแพงกันคลื่นลมตามชายฝั่งทะเล การปลูกเพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอาจปลูกระยะถี่ 0.75 x 0.75 เมตรก็ได้
การดูแลรักษา
          การดูแลรักษากล้าไม้ในเรือนเพาะชำและกล้าไม้ที่ปลูกในพื้นที่นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และจะต้องตรวจตราดูแลอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากดินอาจจะแห้งเกินไปในช่วงฤดูแล้ง หรืออาจจะถูกทำลายโดยโรคและแมลงในกรณีกล้าไม้อยู่ในแปลงเพาะ ส่วนเมื่อนำไปปลูกในพื้นที่แล้วอาจจะถูกทำลายโดยแมลง ตัวหนอน ปูแสม เพรียงหินหรือลิง เป็นต้น และจะต้องกำจัดวัชพืชเพื่อลดการแก่งแย่งและเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของกล้าไม้ในพื้นที่ปลูกด้วย
Last Updated on
การปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ป่าชายเลนประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด บางชนิดขยายพันธุ์โดยส่วนที่เรียกว่าฝักและบางชนิดขยายพันธ์โดยส่วนที่เป็นผลและเมล็ด โดยธรรมชาติ ฝัก ผล หรือเมล็ด ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทุกชนิด สามารถที่จะงอก และเจริญเติบโตได้เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม แต่เมื่อต้องการที่จะปลูกในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อทางเศรษฐกิจหรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็ตาม จำเป็นต้องทำการเก็บรวบรวมฝัก ผล และเมล็ด เพื่อนำมาใช้ปลูกโดยตรง หรือมาเพาะในเรือเพาะชำเป็นกล้าไว้ก่อน เพื่อเตรียมไว้ปลูกในช่วงเวลาที่มีฝักหรือเมล็ดไม่เพียงพอ ซึ่งการปลูกเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีนั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ในเรื่องธรรมชาติของไม้แต่ละชนิดและสภาพสิ่งแสดล้อมแล้ว ยังจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการและเทคนิคในการปลูกและดูแลรักษาด้วย สำหรับวิธีการและเทคนิคนั้น จะแตกต่างไปตามลักษณะของพันธุ์ไม้แต่ละชนิด
          วิธีการและเทคนิคการปลูก
          1. การปลูกโดยใช้ฝัก พันธุ์ไม้ที่ใช้ฝักในการขยายพันธุ์ ได้แก่ โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora- mucronata) โกงกางใบเล็ก (R. apiculata) รังกะแท้ (Kandelia candel) พังกา หัวสุมดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza) พังกาหัวสุมดอกขาว (B. sexangula) ถั่วขาว (B. cylindrica) ถั่วดำ (B. parviflora) โปรงแดง (Ceriopstagal) และโปรงขาว (C. decandra) เป็นต้น เทคนิคการปลูกโดยใช้ฝักปลูกดำเนินการได้ในสองกรณี คือ

การดำรงชีวิตของสัตว์

เทคนิคการเรียนเก่ง

พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆ ก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆ จากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง เขามีเทคนิคอะไร ยังไง

จากการวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้


  1. เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
  2. เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
  3. เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
  4. มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
  5. ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ

เทคนิคการแร่เงา

วันนี้เราขอเสนอ~!!
 
ทริควิธีสานเส้นภาพวิ้งวั้งวู้ว~~~!!!
เอาให้มีประกายเจิดจ้ากระเซ็นออกมาจากภาพเลย =w=b!!
 
 
เป็นฮาวทูที่ข้าง ๆ คู ๆ ที่สุดในโลกค่ะ
เพราะส่วนใหญ่มาจากเรางมเอาเองทั้งนั้น 
 
อนึ่ง :: 1. สำหรับแฮนด์โทน orz...
ก็โทนคอมเดี๋ยวนี้มันวิ้งมาครบสูตรอยู่แล้วนี่หน่า TwT
แต่ก็น่าจะเอาไปประยุกต์ได้บ้างนะ (มั้ง)
 
 2. จขบ.มั่ว มั่วแหลกได้โล่ห์ แต่เห็นมันเวิร์คเลยเอามาแบ่งปัน
ความจริงแล้ว มันอาจจะขัดกับหลักอะไรบางอย่างเลยก็ได้นะ = =''
ถือว่าเป็นวิธีส่วนตัวค่ะ
 
 3. เราเป็นคนที่อธิบายได้ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ (ฮ่า ๆ ) เพราะฉะนั้นควรดูภาพเอาดีกว่า
 
4. เหมาะสำหรับนำไปวาดภาพแนวการ์ตูน... *3*// (เพราะจขบ.ไม่เคยลองกับงานแบบอื่น)
 

วันวาเลนไลน์

ประวัติสุนทรภู่

วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙) แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี

พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน

เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙


วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี

หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา

สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐

สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย

ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"

ประวัติสุนทรภู่

ประวัติสุนทรภู่

วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙) แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี

พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน

เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙


วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี

หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา

สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐

สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย

ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"

วันสำคัญทางศาสนา

9 กุมภาพันธ์ 2552
วันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง
ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม
ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์





วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 3 หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์
แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน 8 สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น
วันขึ้น 15 ค่ำกลางเดือน 4 หรือประมาณเดือนมีนาคม
ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552

ความสามัคคี

วิ่ง 31 ขา สามัคคี คือ กีฬา ที่มีจุดเริ่มต้นจาก กีฬาวิ่ง 2 คน 3 ขา ซึ่งเป็นกีฬาพื้นฐาน
ที่ต้องอาศัยความสามัคคี ร่วมใจของคน 2 คน ในการวิ่งสู่เส้นชัย
พัฒนามาสู่ กีฬาวิ่ง 31 ขา ที่ต้องอาศัยพลังแห่งความสามัคคี ความมุ่งมั่นและการรวมใจของคน 30คน
เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อวิ่งไปสู่จุดหมาย ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังหัวใจแห่งความสามัคคี มีน้ำใจ
เป็นนักกีฬาให้กับเยาวชน

พระคุณแม่

"พระราชินี" พระราชทานคำขวัญวันแม่ (กรุงเทพธุรกิจ)
           สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ แก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะนำไปเผยแพร่เทิดพระคุณแม่ทั่วประเทศ

          ทั้งนี้ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอความร่วมมือให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมกันร้อยดวงใจถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ


คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2544 - 2552
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2553

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

          "แผ่นดินนี้แม่ของลูกใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าวที่เดินซ้ำย่ำหว่านไถ บำรุงดินจนอุดมสมดังใจ หวังนาไทยเป็นของไทยไปนิรันดร์"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2552


          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2552 ความว่า

          "แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้าง  เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ ขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร   เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2551

         "เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่น หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน จักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย"
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2550
         "ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณ คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย"
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2549
 
         "รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลือง รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์ ใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย"


 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2548


         "ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้า เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ ทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน"

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2547

          สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า
         "แม่คือผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด นอกจากความรักความเข้าใจจากลูก"
           พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า 

พระคุณพ่อ

วันพ่อ แห่งชาติ มีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2523 โดย คุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม ด้วยความจงรักภักดี และมีวัตถุประสงค์ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ”
ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป
วัตถุประสงค์ของการจัด วันพ่อ แห่งชาติ ที่คณะผู้ริเริ่มกำหนดคือ
เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม

เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
ในการนี้คณะกรรมการได้จัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณ พ่อตัวอย่าง หรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตรธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด งดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน และมีภรรยาเพียงคนเดียว และได้แนะนำกิจกรรมสำหรับลูกในวันพ่อ คือ ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ ซึ่งยังดำเนินการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย
โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก ตรงกับวันที่ 2 มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ 17 สิงหาคม บราซิลตรงกับวันที่ 7 กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้น
“วันชาติ” ของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเพียงวันเดียว แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่มี “วันชาติ” มากกว่าหนึ่งวัน ทั้งนี้เพราะประเทศนั้นๆ อาจจะนับวันที่ได้รับเอกราชหรือวันที่ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคม และวันที่มีการสถาปนาการปกครองขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะมิใช่วันเดียวกัน แต่เป็นวันสำคัญเสมือนวันชาติเท่าๆกัน เช่น ประเทศปากีสถาน จะมีวันชาติตรงกับวันที่ 23 มีนาคม ที่เขาเรียกว่า “Republic Day” และวันที่ 14 สิงหาคม เป็น “Independence Day” ส่วนฮังการี ก็มีถึง 3 วันคือ วันที่ 15 มีนาคม 20 สิงหาคม และ 23 ตุลาคม สำหรับจีน นอกจากจะมีวันชาติตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม แล้ว ที่ฮ่องกง อันเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน ที่มีขึ้นหลังจากอังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีนก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ตรงกับวันสถาปนาการปกครองพิเศษนี้ขึ้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม อีกด้วย
สำหรับประเทศไทย เราเคยได้มีการกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็น “วันชาติ”ของไทย ด้วยถือว่าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “วันชาติ” ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 โดย พ.อ.พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2482 ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
วันที่ 24 มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ของไทยอยู่นานถึง 21 ปี ครั้น วันที่ 21 พฤษภาคม 2503 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยให้เหตุผลว่า
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ 24 มิถุนายน นั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
คณะกรรมการนี้ได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่างๆได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่างๆกัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ โดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ เพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เอง
คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติ ในวันที่ 24 มิถุนายนเสีย
ดังนั้น นับแต่ปี พ.ศ. 2503 ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันชาติ” ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตามปกติ การจัดงาน “วันชาติ” ของประเทศต่างๆก็จะมีกิจกรรมและรูปแบบแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ก็มักจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ การจัดขบวนพาเหรดเฉลิมฉลอง การจุดพลุดอกไม้ไฟอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงการแสดงมหรสพต่างๆ เป็นต้น แต่ในประเทศไทย เนื่องจากวันชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งมีกิจกรรมเฉลิมฉลองอยู่แล้ว กอปรกับประเทศไทยยังไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน และคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน
ดังนั้น “วันชาติ” ของเราจึงดูเหมือนไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก เพราะชาวไทยทุกหมู่เหล่าล้วนตัองการจัดกิจกรรมเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของแผ่นดิน” มากกว่าประเด็นอื่น อย่างไรก็ดี หากเราจะระลึกว่าวันนี้ ก็เป็น “วันชาติ”ของไทยด้วย แล้วจัดกิจกรรมต่างๆที่จะแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อ “ประเทศชาติ” ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และความเสียสละมาอย่างยาวนานเช่นไร ก็อาจจะทำให้ วันนี้ มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การทำความสะอาด

เทศบาลนครนครราชสีมาร่วมกับผู้ประกอบการตลาดไนท์บาร์ซ่าสวนหมาก และประชาชนในพื้นที่จำนวนกว่า 100 คน ร่วมใจกันทำความสะอาดถนนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ นายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ,สมาชิกสภาเทศบาลนครนครราชสีมา ,ผู้ประกอบการตลาดไนท์สวนหมาก และประชาชนในพื้นที่จำนวนกว่า 100 คน ได้ร่วมกันทำความสะอาดถนนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการค้าขาย ทั้งนี้ไนท์บาร์ซ่าสวนหมาก เป็นสถานที่สำหรับจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค อาทิ เสื้อผ้า, กระเป๋า ,รองเท้า ,ข้าวของเครื่องใช้ และสินค้าต่างๆ อีกทั้งยังมีการจำหน่ายอาหาร ซึ่งทำให้พื้นถนนเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน และคราบของเศษอาหาร เมื่อสะสมเป็นเวลานานก็จะทำให้พื้นถนนเกิดความสกปรก จึงได้ร่วมกันทำความสะอาดในครั้งนี้
โดยนายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมากล่าวว่า ทางผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ไนท์สวนหมาก ได้ขอความร่วมมือเทศบาลนครนครราชสีมา สนับสนุนรถน้ำ และกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยในการทำความสะอาด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นการปรับปรุงทัศนียภาพ เพิ่มความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้แก่พี่น้องประชาชน

ด้านประชาชนที่มาร่วมทำความสะอาดไนท์สวนหมากในวันนี้กล่าวว่า การทำความสะอาดครั้งนี้เป็นการสร้างความรักความสามัคคีของประชาชนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทำให้ไนท์สวนหมาก สะอาดมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อต้อนรับผู้ที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ยังฝากถึงพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการทุกคน ให้ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด
สำหรับการร่วมแรงร่วมใจกันทำความสะอาดสถานที่สาธารณะ เป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการและประชาชน ตระหนักถึงการรักษาความสะอาดแบบมีส่วนร่วม และเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชนอีกด้วย.

การดูแลต้นไม้

ชาวจังหวัดสุโขทัย ร่วมปลูกต้นไม้ ตามโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าภาคเหนือเฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ




วันที่ (3 ก.ค.51) นายวันชัย สุทิน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานพิธีปลูกต้นไม้ ตามโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าภาคเหนือเฉลิมพระเกียรติ ณ เขากุดยายชี ตำบลนาเชิงคีรี อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย เพื่อสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยในการดูแลรักษาป่าไม้ ทรัพยากรน้ำ และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการประสานการปฏิบัติของทุกภาคส่วน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำยม และสาขา เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน
สำหรับเป้าหมายในการปลูกต้นไม้ตามโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าภาคเหนือเฉลิมพระเกียรติ อำเภอคีรีมาศ กำหนดให้มีการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ จำนวน 500 ไร่ ติดต่อกัน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2553 รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 1,500 ไร่ ซึ่งการปลูกต้นไม้ในปี 2551 จะปลูกต้นไม้ยืนต้นประเภทต่างๆ เช่น ต้นสัก ต้นไผ่ มะม่วง สะเดา จำนวน 12,000 ต้น และหญ้าแฝก 2 แสนกล้า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่

อาหารหลัก 5หมู่

มีแรงจูงใจ 2 ประการที่จำเป็นจะต้องนำอาหารหลัก 5 หมู่ มาทบทวนตอกย้ำ ทั้งที่ทราบดีว่าคนไทยส่วนมากรู้จักมักคุ้นอยู่แล้ว แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5 ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน







อีกประการหนึ่ง อาจจะดูเป็นเรื่องตลกแต่สะท้อนใจให้เห็นอะไรบางอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว







ที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีนักวิชาการไปสอนใช้ชาวบ้าน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อธิบายอย่างยืดยาวแล้วบอกชาวบ้านว่า เดือนหน้าจะมาเพื่อติดตามดูว่า ชาวบ้านกินครบ 5 หมู่หรือไม่ พอครบหนึ่งเดือนนักวิชาการกลับมายังหมู่บ้านแห่งนั้น เริ่มด้วยการถามคุณยายคำ อายุ 70 ปี ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ไหม ยายคำตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเพิ่งกินได้แค่ 5 หมู่เอง หมู่ที่ 5 ยังไม่ได้กิน นักวิชาการถามกลับไปว่าเพราะเหตุใด ยายคำตะโกนก้องว่าหมู่ 5 อยู่ไกลมากเดินไปกินไม่ไหวยายคำคิดว่านักวิชาการบอกให้กินเป็นรายหมู่บ้าน เรื่องนี้น่าจะเกิดการผิดพลาดแน่นอน หากนักวิชาการมีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับชาวบ้าน







ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดังนี้







หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ







หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย







หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ







หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3







หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย







ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน







เหตุผลที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5

โทษของยาเสพติด

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต

ด้านการปกครอง
จังหวัดภูเก็ต ได้จัดแบ่งเขตการปกครองออกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านดังนี้
  • อำเภอเมืองภูเก็ต : มี 8 ตำบล 42หมู่บ้าน
  • อำเภอกะทู้ : มี 3 ตำบล 18หมู่บ้าน
  • อำเภอถลาง : มี 6 ตำบล 42หมุ่บ้าน
มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่น ดังนี้
  • ทิศเหนือ เขตอำเภอถลาง ติดต่อกับจังหวัดพังงา เขตอำเภอตะกั่วทุ่ง มีช่อง แคบปากพระเชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานสารสิน และสะพานท้าวเทพกระษัตรี
  • ทิศใต้ เขตอำเภอเมืองภูเก็ต จดกับทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย
  • ทิศตะวันออก เขตอำเภอเมืองภูเก็ต และอำเภอถลางจดอ่าวพังงา ทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
  • ทิศตะวันตก เขตอำเภอเมืองภูเก็ต อำเภอถลางและอำเภอกะทู้ จดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
ลักษณะภูมิประเทศ
ภูเก็ต มีรูปร่างเป็นเกาะเรียวยาวจากเหนือไปใต้ มีเกาะบริวารน้อยใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ส่วนใหญ่ประมาณ ร้อยละ 70 เป็นที่ราบสูงหรือภูเขา มีเทือกเขาทอดยาวในแนวเหนือใต้ ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาไม้เท้าสิบสอง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 529 เมตร เป็นแนวกำบังลมและฝน ทำให้ภูเก็ตปลอดภัยจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และพื้นที่ประมาณร้อยละ 30 เป็นที่ราบแถบเชิงเขาและชายฝั่งทะเลอยู่บริเวณตอนกลางและตะวันออกของเกาะ โดยพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกมีสภาพเป็นหาดโคลนและป่าชายเลน ส่วนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเป็นภูเขาและหาดทรายที่สวยงาม และบริเวณที่เป็นที่ราบตัดจากภูเขาลงมามีสภาพพื้นที่เป็นที่ดอนลักษณะลูกคลื่นลอนลาด และต่อจากบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนที่สำคัญ คือ เทศบาลนครภูเก็ต ชุมชนฉลอง ชุมชนราไวย์ และชุมชนเกาะแก้วเป็นต้น
ลักษณะประชากร
จังหวัดภูเก็ต ในอดีตเจ้าถิ่นเดิม ได้แก่ เงาะซาไก และชาวน้ำ ชาวเล หรือ ชาวไทยใหม่ ต่อมาได้มีชาวอินเดีย ชาวไทย และชาวจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพเข้ามา สำหรับชาวไทยได้มีการอพยพเข้ามาอาศัยมากขึ้นทำให้สามารถยึดครองภูเก็ตได้มากกว่าชาติอื่น กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เข้ามาสู่พื้นที่ภูเก็ตและมีส่วนสำคัญต่อการผสมผสานและสืบต่อวัฒนธรรมของชาวภูเก็ตจนมาถึงปัจจุบัน
จำนวนประชากร
  1. จังหวัดภูเก็ต ประชากรจังหวัดภูเก็ตตามสถิติข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ณ 31 ธันวาคม 2546 มีทั้งสิ้น 278,480 คน แต่จากการสำรวจ สัมภาษณ์บุคคลและหน่วยงานราชการต่างๆ พบว่า มีประชากรแฝงจากพื้นที่อื่นๆทั้งจากจังหวัดใกล้เคียงในภาคใต้ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาในลักษณะของการลงทุนประกอบการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งแรงงานที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้แจ้งชื่อย้ายเข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ มีธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆที่ต่อเนื่อง สถิติข้อมูลที่จะอ้างอิงได้ชัดเจนในที่นี้จึงเป็นประชากรที่ตามสถิติข้อมูลทะเบียนราษฎร์เท่านั้น
  2. เขตเทศบาลนครภูเก็ตประชากรในเขตผังเมืองรวมเมืองภูเก็ตเดิม ซึ่งรวมทั้งประชากรในเขตเทศบาลนครและประชากรบางส่วนในตำบลรัษฎาและวิชิตได้เพิ่มขึ้นจาก 66,571 คน ในปี 2537 เป็น 88,210 คน ในปี 2546 คิดเป็นอัตราการเพิ่มประมาณ 0.03176 ต่อคนต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 3.18 ส่วนประชากรในเขตเทศบาลนครภูเก็ต ได้เพิ่มขึ้นจาก 59,155 คน ในปี 2537 เป็น 75,249 คน ในปี 2546 คิดเป็นอัตราการเพิ่มประมาณ 0.02709 ต่อคนต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 แสดงให้เห็นว่าอัตราการเพิ่มประชากรในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตน้อยกว่าอัตราการเพิ่มประชากรทั้งเขตผังเมืองรวม แสดงว่าประชากรได้มีอัตราเพิ่มมากขึ้นนอกเขตเทศบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตำบลวิชิตที่ติดกับเขตเทศบาล

    ชาวเล เป็นชาวกลุ่มแรกๆที่มาอาศัยอยู่บนเกาะภูเก็ต จากนั้นมาจึงกลุ่มชนอื่นๆ อพยพตามมาอีกจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ชาวไทย ชาวมาเลย์ ฯลฯ จนมีวัฒนธรรมเฉพาะเป็นของตนเอง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสีสันอย่างหนึ่งของภูเก็ต

    ตามบันทึกของ ฟรานซิส ไลท์ กล่าวถึงลักษณะของชาวภูเก็ตว่าเป็นพวกผสมผสานกันทางด้านเชื้อชาติ และวัฒนธรรมกับชาวมลายู โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมากในสมัยนั้นทำตัวเป็นทั้งมุสลิม และพุทธศาสนิกชน คือ ไม่รับประทานหมู แต่สักการะพระพุทธรูป

บุคคลที่สำคัญ

สวัสดีค่ะ...ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซต์บุคคลสำคัญของโลก
 
โดยเนื้อหาของเว็บไซต์นี้จะกล่าวถึงบุคคลต่างๆ ที่โลกให้การยอมรับและยกย่องให้บุคคลเหล่านี้ถือเป็นบุคคล
 
ที่สำคัญที่ควรค่าแก่การจดจำ  
 
โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้าและผู้ที่สนใจ

โดยเนื้อหาแบ่งเป็นหมวดหมู่อันได้แก่ ...
scientist ของโลก
politicalของโลก
philosopherของโลก

การประหยัดพลังงาน

การลดการใช้น้ำคนละ 1 แก้ว/วัน ประเทศไทยจะสามารถประหยัดน้ำได้ 30,000 ตัน/วัน
= (0.5 ลิตร x 60 ล้านคน) หรือเท่ากับน้ำ 11,000 ล้านลิตร/ปี
เนื่องจากต้นทุนการผลิตน้ำประปาคือ 8.60* บาท/ลูกบาศก์เมตร
(หรือ 8.60 บาท/1,000 ลิตร)
การลดการใช้น้ำ 1 แก้วทุกวัน จะประหยัดเงินได้ 94.6 ล้านบาท/ปี
= (11 ล้านตัน x 8.6 บาท/หน่วย)
* ข้อมูลจาก กองเผยแพร่ การประปานครหลวง

กีฬาฟุตบอล

ร่วมเล่น
มากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน
เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี
ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio)
มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน
ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่า
กีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน
อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง
ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่ม
ีกติการการแข่งขันที่แน่นอน
คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอล
ในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431

วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น
สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman)
พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต
และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา[1][2] และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ[3]
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9[3][4] และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน[6] โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและ

การสร้างบ้าน

ก่อนจะเรียนรู้เรื่องของการสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเองนั้น มีสิ่งสำคัญประการแรกที่จะต้องทำคือ ปรับพื้นที่ก่อนการสร้างบ้าน กรณีที่เป็นที่จัดสรรโครงการต่างๆ ระดับของที่ดินน่าจะใช้ได้แล้ว เข้าปลูกบ้านได้เลย เพราะเขาจะปรับพื้นที่ที่ดินทุกแปลงให้เรียบร้อย และเท่าๆกันหมด แต่หากที่ดินของคุณ ไม่ใช่ที่ดินจัดสรร ก็อาจจะต้องมีการปรับพื้นที่ก่อนการสร้างบ้าน มาดูรายละเอียดของแต่ละกรณีดู
1. ถ้าเป็นที่ดิน ที่มีระดับสูงกว่าระดับถนนอยู่แล้ว แต่ไม่ราบเรียบ คุณจะปรับพื้นที่ก่อนเพื่อให้การก่อสร้างทำได้สะดวกก็ได้ หรือจะทำภายหลัง เมื่อการก่อสร้างเสร็จแล้ว จะทำการปลูกต้นไม้ จัดสวนก็ได้
2. ถ้าเป็นที่ดินต่ำกว่าถนน ต้องทำการถมปรับระดับที่ดิน ให้สูงกว่าระดับถนนเสียก่อน เพื่อกันปัญหาเรื่องน้ำท่วม แต่ไม่แนะนำให้ถมสูงเกินไปนัก จนเกินความจำเป็น และจะยากลำบากต่อการทำถนนและโรงรถด้วย เอาสูงพอประมาณสัก 30-50 ซม. ก็พอ หรือดูจากที่ดินข้างเคียง ระดับไม่ควรต่างกันมากนัก เพราะดินมันไหลได้เหมือนกัน ถ้าเราจะถมสูงกว่าเขา เราก็ต้องทำรั้วเป็นเขื่อนกั้น ไม่ให้ดินมันเทออกไป ถ้าถมสูงมาก ก็ต้องทำรั้วสูงตาม และถ้าสูงต่างกันมากระหว่างด้านใน กับด้านนอก รั้วก็ต้องออกแบบตอกเข็มเป็นพิเศษ ไม่งั้นมันจะเอียงได้ง่ายๆ ส่วนตัวบ้านนั้นควรจะยกพื้นสูง มีใต้ถุน ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีคนทำกัน บ้านสมัยก่อนเขาทำกันเป็นส่วนใหญ่ และก็มีข้อดีหลายอย่าง เสียเงินมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่จะค่อยมาว่ากันภายหลัง ในเรื่องการสร้างบ้าน
ที่ให้ถมที่ก่อนนั้น เพราะการถมที่ ไม่ว่าเราจะให้เขาบดอัดดินให้แน่นขณะถมเท่าใด ดินมันก็จะต้องทรุดตัวลงวันยังค่ำ เพราะการบดอัดนั้น ทำไม่ได้ 100 % แน่นอน การทรุดตัวของดินนั้นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ มันเป็นการ settlement คือยุบตัวเองให้แน่นโดยไม่มีโพรงหรือช่องว่างอยู่ เหมือนตอนถมใหม่ๆนั่นเอง การ settlement นี้ต้องอาศัยเวลานานเป็นปี กว่าจะเข้าที่ นี่คือเหตุผลที่ต้องถมดินก่อน ยิ่งนานยิ่งดี เพราะเมื่อคุณมาปลูกบ้านภายหลัง ปัญหาที่พื้นคอนกรีตบางแห่งทรุดตัวจะไม่เกิดขึ้น เพราะดินมันแน่นแล้ว อีกอย่างหนึ่ง การปรับพื้นที่ตอนไม่มีตัวบ้าน จะทำง่ายกว่าไม่เกะกะ
      การถมดินขอให้เขาคิดราคาเหมาเป็นระดับความสูงไปเลย รวมค่าดิน ค่ารถ ค่าใช้จ่าย เมื่อถมตามระดับที่ตกลงกันไว้เป็นเงินเท่าไหร่ เช่นที่ดินขนาด 200 ตรว. ต้องการถมสูงจากเดิม 50 ซม. เขาจะเหมาเป็นเงิน 200,000 บาท (ยกตัวอย่าง) ก็เตรียมค่าใช้จ่ายไว้ได้เลยตามนั้น แต่ถ้าไปคิดเป็นคันรถแล้วให้เขาปรับพื้นที่เอาระดับความสูงเท่ากัน ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่า เพราะเทคนิคการถมดินนั้นมันมีวิธีการหลายอย่าง คนที่ไม่มีประสบการณ์จะตามไม่ทัน และก็ไม่ได้ของตามต้องการ แต่เสียเงินเยอะกว่า ยกตัวอย่างเช่น รถดั๊มพ์ 1 คัน มีความจุ 12 คิว (ลูกบาศก์เมตร) เราก็คิดว่าเราซื้อดินกับเขา 10 คันรถ เราก็ต้องได้ดิน 80 คิว นี่มันถูกต้องทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ไม่ใช่ในทางปฏิบัติ เพราะเวลาเขาตักดินใส่รถ ดินมันไม่แน่น มันเป็นก้อนใหญ่ กองกันหลวมๆ ขนาดของรถที่ใส่ดินได้ 12 คิว แต่ดินที่เราได้มันไม่ถึงหรอกครับ ได้ 7- 8 คิวเท่านั้น แล้วเดี๋ยวนี้น้ำมันก็แพง คิดราคาเป็นคันเป็นเที่ยว ก็จะเสียเงินมากขึ้น นี่เป็นตัวอย่างแรกเรื่องปริมาณของการขน อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการบดอัด การบดอัดดินให้แน่นหรือไม่แน่นนี่ มันใช้ดินไม่เท่ากันอยู่แล้วใช่ไหมครับ กำไรของการทำงานมันก็อยู่ตรงนี้ส่วนหนึ่งด้วย สมมติถ้าเราให้เขาเหมาถมดินสูง ครึ่งเมตร ถ้าบดอัดไม่แน่น อาจใช้ดิน 100 คันรถ เมื่อวัดระดับได้ ครึ่งเมตรก็เสร็จ เบิกเงินได้ แต่ฝนตกมาที ยุบไป 20 ซม. จะไปตามเขามาถมเพิ่มได้ไหม? ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ให้เขาเหมา ให้เขาถมดิน แบบคิดเป็นคันรถ เขาก็จะบดอัดให้แน่น เพื่อให้ได้เที่ยวรถที่มากๆ อาจจะเป็น 120 คัน ในพื้นที่เท่ากัน นี่เราก็จ่ายแพงกว่าแบบแรก 20 % แล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้ดินแน่น ยุบตัวน้อยกว่าเดิม นี่เป็นตัวอย่างของเทคนิคการถมดิน ซึ่งมี trick มากมาย ผมจึงแนะนำให้ถมแบบเหมาจ่ายรวม ตามระดับความสูงดีกว่า และหาคนคอยดู ควบคุมเวลาบดอัดให้ดินแน่นๆ ไม่เป็นโพรง ก็จะได้ของที่ดีตามความเหมาะสม
3. นอกจากการถมดินแบบธรรมดา คือเต็มพื้นที่แล้ว ในกรณีที่ ที่ดินเรากว้างมาก เช่นประมาณ 1-5 ไร่ งบประมาณการถมดินนั้นจะสูงมาก เราไม่จำเป็นต้องถมเต็มพื้นที่ก็ได้ โดยออกแบบส่วนที่เป็นสระน้ำ บ่อน้ำ ในส่วนของสวน ก็จะทำให้ถมดินน้อยลงไป ยิ่งมีพื้นที่สระกว้าง ก็ถมดินน้อย หรือแม้กระทั่งคุณไม่ต้องซื้อดินถมเลย เพียงแต่ขุดดินในส่วนของสระที่ต้องการขึ้นมาถมในส่วนตัวบ้านหรือสนาม ก็จะได้บ้านที่น่าอยู่แล้ว ได้ความเย็นจากสระน้ำ เลี้ยงปลาก็ได้ ต้นไม้ก็ไม่แห้งเฉา น้ำยังใช้สูบมารดน้ำต้นไม้ได้อีก ไม่ต้องใช้น้ำประปาแพง ยิ่งในกรุงเทพฯต่อไปจะต้องเสียค่าบำบัดน้ำอีก
4. ถ้าที่ดินกว้างมากกว่าข้อ 3 ก็จะทำเพิ่มได้อีก 1 วิธี ที่คุ้มค่า คือการทำเขื่อน หรือ คันดินพร้อมรั้วรอบบริเวณ แล้วทำระบบระบายน้ำให้ดี แต่บางคนก็ไม่ชอบเพราะกลัวว่าบ้านจะเป็นแอ่งกระทะรับน้ำเมื่อระบายน้ำไม่ทัน อันนี้เป็นความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้ ก็ต้องเลือกที่จะจ่ายเงินแพงหน่อยละครับ ถ้าไม่นิยมวิธีนี้
5. การถมด้วยวัสดุอื่น เช่น ลูกรัง หรือทราย ส่วนใหญ่ไม่นิยมนำมาถมบ้าน เพราะไม่เหมาะที่จะปลูกต้นไม้ ถึงแม้ลูกรังจะถมแน่นดีกว่า ไม่ทรุดตัว แต่ราคาก็แพง แต่ถ้าเราอยากหลีกเลี่ยงการทรุดตัวของดินก็สามารถนำมาใช้เป็นบางส่วนได้เช่น ถมส่วนที่เป็นถนนหรือโรงรถ ส่วนการถมทรายนี่จะไม่แพงและมีความแน่นดีกว่าดิน แต่ปัญหาเรื่องทรุดตัว ก็จะมีตลอดเวลาไม่เหมาะกับการถมในที่สูง หรือที่เล็กๆ เพราะใต้ดินนี่ ถ้ามีโพรง ช่อง ร่อง รู ที่ไหน ทรายมันก็ไหลไปตามน้ำได้เสมอ
เมื่อเรามีที่ดินอยู่แล้ว ต้องการที่จะสร้างบ้านเอง เท่าที่เห็นจะมีน้อยรายที่ทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ในวงการก่อสร้างมาจึงมีประสบการณ์ในการสร้างบ้านอยู่บ้าง และสามารถสร้างบ้านของตนเองได้(หมายถึงคนเมืองในปัจจุบัน ที่มีวิถีชีวิตแบบสมัยใหม่การอุปโภค บริโภคต่างๆ ก็ใช้ระบบซื้อหาด้วยเงินอย่างเดียว) ส่วนคนต่างจังหวัดถ้าเป็นพวกชนพื้นถิ่นต่างๆ ยังมีการสร้างที่อยู่อาศัยชองตนเองอยู่ โดยมีรูปแบบและวิธีการ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่นชาวไทยภูเขา เผ่าต่างๆ ชาวนาก็ยังมีการสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ พวกเรือนมุงจากแบบดั้งเดิม ส่วนคนเมืองที่ฐานะไม่ค่อยดีนักและสร้างบ้านแบบง่ายๆ เล็กๆอยู่ก็พอมีบ้าง ดังนั้นที่จะกล่าวถึงการสร้างบ้านด้วยตนเองต่อไปนี้ ก็คงจะพูดถึงคนเมือง คนกรุง เป็นหลัก คือถ้าจะสร้างบ้านหลังย่อมๆขึ้นไป มีมากกว่า 1 ห้องนอน และมีห้องอื่นๆอีกด้วย คนส่วนใหญ่คงไม่มีประสบการณ์มากนัก ดังนั้นการสร้างบ้านเองนั้น อาจจะเกิดการผิดพลาด และปัญหาต่างๆตามมามากมายได้ เช่น
1. ปัญหาเรื่องงบประมาณบานปลาย เพราะแบบบ้านไม่ชัดเจน ไม่ละเอียด หนักกว่านั้นคือไม่แน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือเพิ่มโน่นเพิ่มนี่ งานใหญ่ๆอย่างบ้านราคา 100กว่าล้าน ก็บานปลายไปได้มาก และสร้างแบบไม่มีวันจบสิ้นได้ อันนี้ผมไม่ได้เจอเอง แต่เพื่อนผมเจอ ออกแบบให้ระดับเอกอัครมหาเศรษฐี ของเมืองไทยเลย เครื่องมือเครื่องใช้เขาก็พร้อม คนก็พร้อม เจ้าของก็พร้อม เงินก็เยอะ แต่งานไม่จบ เพราะเพิ่มเติมแก้ไขอยู่ตลอด จากบ้านก็กลายเป็นวัง ทำไปทำมาเห็นบอกว่า เกือบ 500 ล้าน เรื่องจริงนะครับ ไม่ได้โม้ ส่วนที่ผมเจอเองออกแบบวังของชีคที่บาร์หเรนหลายสิบปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นนายกฯไปแล้ว ก่อนนี้ท่านชอบมาเที่ยวเมืองไทยมาก วังท่านใหญ่โตเหลือเกิน สร้างมา 7 ปีไม่เสร็จ ผมเข้าไปทำตกแต่งภายในต่อ เห็นแล้วก็ปวดหัวแทน แล้วก็ทำไม่เสร็จเหมือนกัน งานใหญ่ๆอย่างนี้ ที่จริงเจ้าของบ้านไม่ได้เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย จึงไม่รีบร้อน แต่งานไม่เสร็จสักที คนทำงานก็เกิดอาการเบื่อหน่าย ทีนี้ถ้าเป็นคุณ หรือกรณีปกติ ร้อยทั้งร้อย เร่งงานทั้งสิ้น ต้องการให้บ้านเสร็จเร็วทั้งนั้น สรุปแล้วปัญหาหลักข้อแรกคือ การกำหนดโจทย์หรือความต้องการของเราต้องชัดเจน แน่นอน อยากได้บ้านใหญ่เล็กแค่ไหน ไม่มีใครว่า เอาให้แน่ แต่อย่าเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา งานจะสะดุด แล้วปัญหาอื่นๆก็จะทยอยตามมาเรื่อยๆ
2. เวลาเนิ่นนาน อย่างควบคุมไม่ได้ เพราะการแก้ไขบ้าง เพราะช่างไม่พร้อมบ้าง ปัญหาข้อนี้อาจจะมีสาเหตุเหมือนอย่างข้อแรก คือเรื่องของแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และอีกสาเหตุหนึ่งอยู่ที่ช่างหรือผู้รับเหมา ที่ไม่ใช่มืออาชีพจริงๆ บางทีเครื่องมือไม่พร้อม เครื่องมือไม่เหมาะกับงาน บางทีประสบการณ์น้อย เป็นลูกมือมาได้ไม่เท่าไหร่ อยากรับงานเอง เป็นผู้รับเหมาเอง จัดงานไม่เป็น บริหารงานไม่เป็น เรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุจากเรา แต่ลงท้าย ก็เราเดือดร้อน
3. ช่างหรือผู้รับเหมาทิ้งงาน อาจจะเรื่องคนงานไม่พอ ทำต่อไม่ไหว เงินหมุนเวียนไม่พอ จ่ายค่าแรงหรือซื้อของไม่ได้ หรือขาดทุนเพราะรับงานราคาต่ำเกินไป (บางทีต้องเสนอราคาแข่งกัน ก็คิดต่ำๆไปก่อน เพื่อให้ได้งาน) แต่ถ้ายิ่งทำยิ่งขาดทุนก็ต้องหนีงาน ที่ร้ายที่สุดคือ เบี้ยว เบิกเงินก่อน สร้างที่หลัง แต่สร้างนิดหน่อยแล้วหายตัวไปเลย อันนี้น่าช้ำใจมาก บ้านก็ไม่ได้ เงินก็เสีย การหาผู้รับเหมาจึงต้องมีคนอ้างอิง หรืองานอ้างอิง ผู้รับเหมาที่ทำงานดีนั้นเราต้องดูผลงานของเขา ว่าสร้างได้มาตรฐานหรือไม่ ซื่อตรงหรือไม่ ถ้ามาแบบไม่รู้หัวนอนปลายเท้าก็จะเสี่ยงไปสักหน่อย เพราะไม่รู้ว่าตัวจริง ตัวปลอม หรือประเภทหัวการค้า อยากได้แต่งานกำไรเยอะ ทำงานน้อยเสร็จเร็ว แต่สร้างเสร็จแล้ว เหมือนไม่ได้ใช้มือทำ การเลือกผู้รับเหมาจึงต้องตรวจสอบประวัติหรือผลงานเสมอ อย่ารีบตัดสินใจเพราะเสนอราคาถูก หรือจะรีบสร้าง อย่าไปห่วงฤกษ์ ห่วงยามเลย ไม่ทันก็หาฤกษ์ใหม่ได้
4. ขอให้ทำงานตามระบบ อย่าข้ามขั้นตอน บางทีเราคิดว่าเพื่อความสะดวกรวดเร็ว อยากให้ทำไอ้นี่ก่อนเพราะเห็นช่างว่างๆ แต่การข้ามขั้นตอนทำงานนั้นจะเร็วในตอนแรก (เพราะข้ามงานไปหลายอย่าง ก็ทำให้เร็วขึ้นเป็นธรรมดา) แต่เมื่อภายหลัง ไม่ได้ทำโน่น ทำนี่ ที่ควรจะทำก่อน แล้วมาทำทีหลัง ความเสียหายจะเกิดขึ้น 2 ประการคือ งานช้าลง และเสียเงินเพิ่มขึ้น การทำงานก่อสร้างนั้นจะมีเรื่องต่างๆเกี่ยวข้องมากมาย แต่เรานึกไม่ถึง ดังนั้นถึงแม้ว่างานจะไม่ได้แก้ไข ทำไปตามแบบ แต่การข้ามขั้นตอนก็เป็นการเสี่ยงต่อปัญหาโดยใช่เหตุ เพราะจะมีผลกระทบตามมาเสมอ

การทำอาหาร

อาหาร ถือเป็นว่าสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ผัด ทอด ปิ้ง ย่าง ต้ม อบ ล้วนแล้วแต่ว่าใครจะชอบอาหารประเภทไหน วันนี้ขอยกตัวอย่างอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ผู้คนนิยมทานกันในยุคปัจจุบัน สะดวกรวดเร็ว หาซื้อได้ง่าย นั่นคือ สลัดผัก มีทั้งแบบน้ำข้น น้ำใส ผักต่างๆ ก็หาซื้อได้ง่ายแล้วแต่ใครชอบ ส่วนน้ำสลัดก็หาได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป เหมาะกับใครๆหลายๆคนที่รักสุขภาพ แต่สำหรับใครๆที่รักการทำอาหารแล้วละก็ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเลยทีเดียว วันนี้จึงขอนำวิธีทำ น้ำสลัดน้ำข้น มาฝากกัน เผื่อใครสนใจจะลองทำดูบ้างก็ไม่หวงกัน มาดูกันเลยนะว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง

รัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญ หมายถึงกฎหมายสูงสุดในการจัดการปกครองรัฐ ถ้าแปลตามความหมายของคำ จะหมายถึง การปกครองรัฐอย่างถูกต้องเป็นธรรม (รัฐ + ธรรม + มนูญ)
ในความหมายอย่างแคบ "รัฐธรรมนูญ" ต้องมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่ใช่สิ่งเดียวกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" มีความหมายกว้างกว่าและจะเป็นรูปแบบลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณีก็ได้
รัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั้น มีทั้งเป็นลักษณะลายลักษณ์อักษร และลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยที่ลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากจะใช้หลักของจารีต ประเพณีการปกครองแล้ว กฎหมายทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญด้วย
ทุกประเทศทั่วโลกมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ทั้งประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รวมถึงประเทศที่ปกครองระบอบเผด็จการ เพื่อใช้เป็นหลักหรือเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ

การออกกำลังกาย

คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียน
โลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้
เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออก
กำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. ระบบไหลเวียนโลหิต
1
.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณ
      มากขึ้น
1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่
      เหนื่อยง่าย
1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลง
     ทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต
     สูง

2. ระบบหายใจ
2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น
2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น
2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการ
      หายใจดีขึ้น

การสามัคคี

"...คราวใดที่ชาวไทยมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อประเทศชาติแล้ว ชาติก็ได้รอดพ้นจากภัยพิบัติสู่ความสุขความ เจริญ แต่คราวใดที่ขาดความสามัคคีกลมเกลียวกัน ก็ต้อง ประสบเคราห์กรรมกันทั้งชาติ จึงเป็นหน้าที่ของ เราทั้งหลาย ที่จะต้องร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ ให้ดีที่สุด..."


พระบรมราโชวาท ในพิธีสวนสนามทหารรักษาพระองค์
ณ ลานพระราชวังดุสิต 3 ธันวาคม 2505






"...ความสามัคคีพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะ ที่จะเกิดมี ขึ้นได้นั้น ย่อมจะเนื่องมาจากความคิด ความเห็น และใจจริงที่มุ่งหมายและยึดมั่นในสิ่งใดสิ่ง หนึ่งรวมกัน..."



พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่สมาคมนักเรียนไทยในรัฐเยอรมันฯ
เพื่ออัญเชิญลงพิมพ์ในหนังสือ เพื่อนไทย สิงหาคม 2521

ยาเสพติด

สิ่งเสพติด หรือที่เรียกกันว่า "ยาเสพติด" ในความหมายของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization or WHO) จะหมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่สามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและจิตใจขึ้น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ที่ใช้ในปัจจุบันได้กำหนดความหมายสิ่งเสพติดให้โทษดังนี้ สิ่งเสพติดให้โทษ หมายถึง "สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจใน ลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มปริมาณการเสพขึ้นเรื่อยๆ มีอาการขาดยาเมื่อไม่ได้เสพ มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุ่นแรงอยู่ตลอดเวลา และทำให้สุขภาพทรุดโทรมลง กับให้รวมตลอดถึงพืช หรือส่วนของพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษหรืออาจใช้ผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษ และสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษด้วย ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่หมายความถึงยาสามัญประจำบ้านบางตำรับ ตามกฎหมายว่าด้วยยาที่มียาเสพติดให้โทษผสมอยู่"
ปัจจุบันนี้สิ่งเสพติดนับว่าเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ เพราะสิ่งเสพติดเป็นบ่อเกิดของปัญหาอื่นๆ หลายด้าน นับตั้งแต่ ตัวผู้เสพเองซึ่งจะเกิดความทุกข์ ลำบากทั้งกายและใจ และเมื่อหาเงินซื้อยาไม่ได้ก็อาจจะก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่พี่น้อง และสังคม ต้องสูญเสีย เงินทอง เสียเวลาทำมาหากิน ประเทศชาติต้องสูญเสียแรงงานและสูญเสียเงินงบประมาณในการปราบปรามและรักษาผู้ติดสิ่งเสพติด และเหตุผลที่ทำให้ สิ่งเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของประเทศอีกข้อหนึ่งคือ ปัจจุบันมีผู้ติดสิ่งเสพติดเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้ยังไม่รวมถึงจำนวนผู้ติดบุหรี่ สุรา ชา กาแฟ

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

        ภูมิปัญญาชาวบ้าน ถือเป็นพื้นความรู้ความสามารถที่ได้รับการสั่งสมถ่ายทอดกันมา และนำมาปรับใช้รวมกับความรู้ และประสบการณ์ของตนเอง ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในท้องถิ่น


สารบัญ

[ซ่อนสารบัญ]